เอ็นไวโรเซล ขยายตลาดวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอาเซียน รับโอกาสเปิด AEC

[Yamachita]

เอ็นไวโรเซล ขยายตลาดวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอาเซียน รับโอกาสเปิดเออีซี ดันภาคธุรกิจขยายการลงทุน ประเดิมวิจัยกลุ่มอินโดจีน ตั้งสำนักงานในพม่า

[center][/center]

น.ส.สรินพร จิวานันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอ็นไวโรเซล ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่าเอ็นไวโรเซล เป็นบริษัทวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคจากสหรัฐอเมริกา ในปีที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับบริษัทอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย หลังจากอินเด็กซ์ฯ ได้ขยายการลงทุนธุรกิจอีเวนท์ในกลุ่มอาเซียนที่พม่าและเวียดนามในปีนี้ บริษัทจึงได้ขยายธุรกิจวิจัยผู้บริโภคเข้าไปในกลุ่มอาเซียนด้วยเช่นกัน โดยเริ่มที่กลุ่มอินโดจีน ในพม่า ซึ่งได้จัดตั้งสำนักงานสาขาในประเทศดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศกัมพูชาเพื่อทำการวิจัยร่วมกัน และสปป.ลาว ดำเนินการในรูปแบบส่งทีมงานจากไทยเข้าไปทำวิจัยร่วมกับทีมงานในลาว

การขยายตลาดวิจัยดังกล่าวเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของทั้งบริษัทข้ามชาติ, ผู้ประกอบการไทย และอินเด็กซ์ ฯ ในกลุ่มอาเซียน จากนโยบายเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี2558 ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการลงทุนจากภาคธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะในพม่า ขณะที่ยังไม่มีตลาดการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภครองรับการทำธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวทางการทำตลาดในกลุ่มอาเซียนของบริษัทต่างๆ

"จากการลงพื้นที่วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในพม่า พบว่าวิถีการใช้ชีวิต การซื้อสินค้าของคนพม่า ต่างจากประเทศอื่นๆ คนพม่า 60-70% ชอบเดินตลาดสด ไม่นิยมเดินหรือซื้อสินค้าในห้าง ชอบนั่งสมาธิ ไปทำบุญที่วัด" น.ส.สรินพร กล่าว

ดังนั้นหากภาคธุรกิจและสินค้าไม่เข้าใจพฤติกรรมคนพม่า มีโอกาสสูงที่จะวางแผนลงทุน หรือทำการตลาด "ผิดพลาด" ไม่ว่าจะเป็นการแห่เข้าไปลงทุนห้างสรรพสินค้า เพื่อหวังให้คนพม่าเข้ามาใช้บริการ เป็นต้น

น.ส.สรินพร กล่าวเพิ่มเติมว่าการเข้าไปขยายธุรกิจวิจัยในอาเซียน ส่วนหนึ่งเพื่อให้บริการกลุ่มอินเด็กซ์ฯ ซึ่งมีเป้าหมายขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ต่อเนื่อง แต่ธุรกิจหลักของบริษัทคือ การให้บริการภาคธุรกิจต่างๆ ที่เริ่มมีการลงทุนในอาเซียนจากนโยบายเออีซี ทั้งนี้จากการเริ่มเข้าไปจัดทำวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในอินโดจีน โดยมีตลาดหลักที่พม่าในปีนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ภาพรวมของบริษัทในปี2556 เติบโต 20% โดยตลาดจากการทำวิจัยนอกประเทศไทยจะมีสัดส่วนราว 20% และมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องหลังจากนี้

ขณะที่ธุรกิจวิจัยในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตสูงเช่นกัน จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ทำให้สินค้าและแบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยเพื่อเข้าถึงและสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ตามเป้าหมายที่รายได้ 30 ล้านบาท


ที่มา : bangkokbiznews.com