'เบบี้ เนเชอร่า' ธุรกิจคิดเพื่อลูก

[Yamachita]

เบบี้ เนเชอร่า.jpg

ลูกตัวน้อยที่เกิดมาพร้อมโรคภูมิแพ้ นำมาสู่ธุรกิจจากไอเดียคุณแม่ "เบบี้ เนเชอร่า" อาหารเสริมสำหรับเด็กออร์แกนิก

ในวันที่น้องดุ๊กลืมตาดูโลก พร้อมด้วยอาการภูมิแพ้ที่ติดมาด้วย คุณแม่อย่าง "อัญชลี เทวอักษร" ตัดสินใจลาออกจากงานมาดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อดูแลอาหารการกินและการใช้ชีวิตของลูกน้อย โดยเริ่มให้อาหารเสริมเมื่อลูกอายุ 6 เดือน ตำราหลากหลายเล่มบอกว่าอะไรเหมาะก็ลองทำให้ลูกทาน แต่ลูกกลับแพ้อาหาร ทั้งน้ำส้มคั้น ไข่แดง ถั่ว หลังจากนั้นเธอศึกษาโรคนี้ด้วยตัวเองแบบทุ่มสุดใจ

เธอเล่าว่า “ไปเจอเว็บไซต์ในต่างประเทศ เขามีบทความเยอะมากเกี่ยวกับเด็กที่แพ้อาหาร เลยไปเจอว่าเด็กวัยนี้มีอาหารกลุ่มไหนบ้าง ที่ไม่ควรทาน เพราะจะเกิดอาการแพ้ได้ มีตั้งแต่ นมวัว ถั่ว ไข่ น้ำส้ม ผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด และอาหารทะเล เห็นแล้วแทบช็อก เพราะเรื่องพวกนี้แทบไม่มีในตำราภาษาไทยเลย แต่เด็กฝรั่งเขาแพ้มานานแล้ว”

ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับเด็กที่เป็นภูมิแพ้โดยเฉพาะหายากมาก และที่มีขายอยู่ในตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ ก็มีส่วนผสมของอาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงให้เด็กเป็นภูมิแพ้ก็ยังมีอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เล็ก คนเป็นแม่อย่างเธอลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อลูก ไม่ใช่เพียงแค่ลูกของตัวเอง แต่เพื่อคุณแม่ที่มีลูกเป็นภูมิแพ้ด้วยกัน โดยทำอาหารให้ปลอดภัย มีบรรจุภัณฑ์ที่มีฉลากตัวใหญ่กำกับชัดเจน อาหารทำง่าย สะดวกสบาย

แบรนด์ "เบบี้ เนเชอร่า" ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมออร์แกนิกสำหรับเด็ก วัย 6 เดือน ถึง 3 ขวบ ภายใต้ บริษัท อาหารสุขภาพดี จำกัด โปรเจ็คครั้งแรกในชีวิตที่ต้องนำไปเสนอครอบครัวเพื่อขออนุมัติ ความที่เธอเป็นลูกสะใภ้ของ“บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด” ธุรกิจหนังสือเรียนที่อยู่คู่เด็กไทยมานานกว่า 7 ทศวรรษ จะทำโปรเจกไหนจึงต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี กว่าจะผ่านแผนธุรกิจมาได้ เธอต้องเจอกับคำถามต่างๆ นานา ตั้งแต่ธุรกิจนี้มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง แก้ปัญหาอย่างไร ฯลฯ

โดยเธอนำเสนอไปว่า “บอกไปว่า แบรนด์นี้เกิดจากตัวเอง เกิดจากความเป็นคุณแม่จริงๆ จึงสามารถเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มคุณแม่ได้ ขณะที่สินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นเรื่องภูมิแพ้ ไม่มีการอัพเดท ฉลากไม่ชัดเจน ซึ่งเราเน้นออกแบบฉลากที่ชัดเจน บรรจุภัณฑ์ดึงดูด ดูสะอาดปลอดภัย ต่างกับสินค้า OTOP และมุ่งกลุ่มพ่อแม่ที่เป็นกังวลเรื่องภูมิแพ้ของลูก ขณะที่ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ และออร์แกนิก ยังเป็นเทรนด์อาหารของโลกอีกด้วย..นี่คือโอกาส”

แผนธุรกิจนั้นผ่านการอนุมัติโดยฉลุย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ไม่มีโรงงานผลิต ไม่มีประสบการณ์ด้านอาหาร เธอเริ่มหาโรงงานผลิตเอง เน้นเฉพาะที่ทำสินค้าออร์เเกนิก มีใบรับรองผลิตภัณฑ์ ทั้งติดต่อฟาร์มเพื่อคัดเลือกวัตถุดิบเอง ส่วนประกอบหลักจะทำจากข้าวกล้อง และผักผลไม้ที่ปลูกโดยชาวนาเกษตรอินทรีย์ ส่วนโรงงานก็มีหน้าที่ผลิต พวกเธอยังวางกลยุทธ์ด้านการตลาด นำพาแบรนด์ "เบบี้ เนเชอร่า" ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เริ่มจากตลาดในประเทศไทย ก่อนจะขยายไปยังต่างประเทศ

เริ่มธุรกิจปี 2007 โรงงานที่จ้างให้ผลิตเริ่มขึ้นราคาแบบไร้เหตุผลทำให้ต้นทุนสินค้าขยับตัวขึ้นตาม ทำตลาดยากขึ้น และเริ่มมีโรงงานทำสินค้ามาแข่ง โดยหน้าตาผลิตภัณฑ์แยกไม่ออกโดยสิ้นเชิง เลยต้องหาโรงงานผลิตใหม่ที่ได้มาตรฐาน รวมถึงออกมาตั้งโรงงานเองแต่ทำเฉพาะการบรรจุและใช้ที่เป็นที่พักสินค้าให้ลูกค้าต่างประเทศ และดำเนินการขอมาตรฐาน IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements - IFOAM) เพื่อให้สามารถส่งขายยุโรปได้”

หลายปัญหาผ่านไป ตั้งแต่ได้โรงงานใหม่ที่เป็น OEM มืออาชีพ รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่กลายเป็นบทเรียนชั้นเยี่ยมให้ระมัดระวังในการทำสัญญาจ้างผลิต เพื่อไม่ให้เกิดกรณี เปลี่ยนจากมิตรเป็นคู่แข่งอีก

การเดินทางไปออกงานต่างประเทศ ทำให้เห็นโอกาสทางธุรกิจ เธอนำความถนัดในงานตลาดมาเสนอเป็นโมเดลให้ลูกค้า เช่น สนับสนุนตัวแทนจำหน่าย ด้วยป้ายโฆษณาสวยๆ บูธชงชิม อุปกรณ์ตกแต่งบูธ เป็นคอนเซ็ปต์ เบบี้ เนเชอร่า โอกาสในต่างประเทศค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อการตอบรับจากหลากหลายประเทศ อย่าง มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมถึงประเทศจีน ที่กำลังจะเข้าไปเปิดสนาม

นอกจากอาหารเสริมสำหรับทารกและเด็กเล็ก ยังเตรียมพัฒนา " "แครกเกอร์ออร์แกนิก" มาเป็นขนมกินเล่นสำหรับเด็ก ก่อนขยายมาทำข้าวออร์แกนิกส์ เพื่อทดสอบตลาด และหาลู่ทางขยายกิจการในอนาคต เธอบอกความตั้งใจก่อนนั่งมองธุรกิจที่ค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับลูกน้อย หวังแค่กิจการแข็งแรงและเติบใหญ่ เหมือนที่ลูกน้อยเริ่มทานอาหารได้แทบทุกเมนู เอาชนะภูมิแพ้ที่เคยเล่นงานได้แล้วในวันนี้


ที่มา : bangkokbiznews.com